หลังจากที่มีการเปิดตัว iPhone 5S (แอปเปิ้ล iPhone 5S) อย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีหลายๆ ประเด็นที่ผู้คนทั่วโลกกล่าวถึง ซึ่งประเด็นหนึ่งที่อยู่ในอันดับแรกๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นฟีเจอร์เด่นของ iPhone 5S นั่นก็คือ Touch ID Sensorหรือเซ็นเซอร์ตรวจสอบลายนิ้วมือ ที่ใช้เป็นระบบยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ โดยมีเซ็นเซอร์ฝังอยู่ที่ปุ่ม Home ซึ่งจะช่วยให้การปลดล็อคเข้าสู่ระบบมีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น, ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น, สามารถป้องกันการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต, ป้องกันการขโมยรหัสผ่าน และนอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการยืนยันตัวตนก่อนซื้อสินค้าบนiTunes Store, App Store และ iBooks Store ได้อีกด้ว
องค์ประกอบของ Touch ID Sensor จะประกอบไปด้วย Sapphire Crystal ที่เป็นวัสดุชั้นนอกสุด ส่วนวงแหวนด้านนอกทำจากสแตนเลส และตัวเซ็นเซอร์หนา 170 ไมครอน ความละเอียด 500 ppi ที่สามารถสแกนลายนิ้วมือลงลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง และอ่านได้ทุกองศา โดย Touch ID นี้จะไม่เก็บภาพลายนิ้วมือของผู้ใช้ไว้ในตัวเครื่อง แต่จะเก็บข้อมูลลายนิ้วมือของผู้ใช้ไว้ในชิปเซ็ต A7 ที่เข้าถึงได้เฉพาะจากฮาร์ดแวร์ Touch ID เท่านั้น และจะไม่ถูกเก็บไว้บน Apple Server หรือ iCloud อีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้ใช้ Touch ID จะถูกบังคับให้ตั้งรหัส Passcode สำรองไว้เสมอ ซึ่งถ้าหาก iPhone ถูกขโมย หรือถูกรีบู๊ต และไม่ได้ปลดล็อคเครื่องเป็นเวลานานกว่า 48 ชั่วโมง เครื่อง iPhone จะถูกล็อคทันที และไม่สามารถใช้ Touch IDเพื่อปลดล็อคได้ ต้องใช้ Passcode อย่างเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ เคยมีมาแล้วตั้งแต่ปี 2011 ใน Motorola Atrix 4G แต่ปัจจุบันมีเพียงแค่ iPhone 5S เท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีนี้ แต่ข้อบกพร่องที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้งาน Touch ID Sensor ในขณะนี้ก็คือ Touch ID ยังทำงานได้ไม่ดีพอ เพราะหากในกรณีที่ นิ้วมือเปียก หรือมีบาดแผลจากอุบัติเหตุ เมื่อสแกนลายนิ้วมือแล้ว เครื่องอาจจะไม่ตอบสนองกับลายนิ้วมือเจ้าของเครื่อง จึงทำให้ ผู้ใช้ Touch ID ต้องมี Passcode ไว้สำรองนั่นเอง