การชาร์ตแบตเตอรี่อย่างถูกหลักวิชาการ
การ ชาร์ตแบตเตอรี่อย่างถูกวิธีนั่นจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ไม่ให้เสื่อมสภาพเร็วเกินไป แต่ผู้ใช้งานมักจะสับสนว่าวิธีชาร์ตที่ถูกต้องนั้นต้องทำอย่างไร เพราะบางคนก็บอกว่าต้องแบตฯ หมดแล้วค่อยชาร์ต
บาง คนก็บอกว่าชาร์ตได้เลยไม่ต้องรอให้แบตฯ หมดแต่ต้องชาร์ตให้เต็มแล้วค่อยเอามาใช้ หรือบางคนก็บอกว่าชาร์ตยังไงก็ได้จะเสียบเข้าเสียบออกกี่ครั้งก็ได้ตามใจ ในหัวข้อนี้ผู้เขียนจะมาไขความจริงเกี่ยวกับแบตเตอรี่ให้กระจ่าง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าแบตเตอรี่แบบชาร์ตไฟใหม่ได้ ที่มีใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีอยู่ 4 ประเภทครับ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีวิธีดูแลรักษาและการชาร์ตที่ต่างกัน ดังนั้นควรดูให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่ของคุณเป็นแบตฯ ประเภทไหน โดยดูจากข้อความที่ติดอยู่บนตัวแบตเตอรี่ หรือถ้าไม่สามารถถอดออกมาดูได้ก็ให้สอบถามไปยังผู้ผลิตอุปกรณ์ว่าแบตเตอรี่ ที่แถมมานั้นเป็นแบบใด
แบตเตอรี่แบบ Nickel-cadmium (Ni-Cd หรือ Ni-Cad)
- ใช้ไฟให้หมดเกลี้ยงก่อนแล้วจึงค่อยทำการชาร์ตไฟใหม่
- ไม่ควรชาร์ตแบบเร็ว (Quick Charge)
- นำแบตเตอรี่ออกจากที่ชาร์ตทันทีหลังจากชาร์ตเต็มแล้ว
แบตเตอรี่แบบ Nickel metal hydride (NiMH)
- การชาร์ตเหมือนกับ Ni-Cd ทุกประการ แต่สามารถใช้งานกับเครื่องชาร์ตแบบเร็ว (Quick Charge) ได้
- ไม่ควรใช้กับเครื่องชาร์ตที่ไม่ตัดไฟเมื่อแบตเตอรี่เต็มหรือเครื่องชาร์ตที่จ่ายกำลังไฟน้อยกว่ามาตรฐาน
- ในอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ NiMH หลายก้อนพร้อมกัน เมื่อแบตเตอรี่หมด ต้องนำแบตเตอรี่มาชาร์ตไฟใหม่ทันที
- ใน การใช้งานครั้งแรก หรือการใช้งานแบตเตอรี่เก่าเก็บไว้ไม่ได้ใช้งาน ต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มและใช้งานให้หมดไฟ 3-4 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเซลล์แบตเตอรี่จึงจะได้ความจุแบตเตอรี่เต็มเหมือนปกติ
แบตเตอรี่แบบ Lithium ion (Li-Ion)
- เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่เกิด Memory Effect และไม่ต้องดูแลรักษาระหว่างใช้งานมากเหมือนแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆ
- สามารถชาร์ตได้บ่อยครั้งตามต้องการ แต่ควรใช้งานให้เหลือสัก10%หรือ20% แล้วค่อยชาร์ตไฟใหม่เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน
- สามารถชาร์ตแบตเตอร์รี่ค้างเอาไว้นานตามต้องการโดยไม่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม
- อายุการใช้งานของแบตเตอรี่แบบ Li-Ion ขึ้นอยู่กับจำนวนการใช้จริงโดย 1 Cycle เท่ากับ 100% และจำนวนครั้งที่ชาร์ต เพราะแบตเตอรี่แบบนี้จะเสื่อมลงเองตามระยะเวลา
- แบตเตอรี่แบบ Li-Ion ไม่ควรใช้งานจนกระทั้งแบตเตอรี่หมดไฟเกลี้ยง
แบตเตอรี่แบบ Lithium ion polymer (Li-Poly หรือ LiPo)
- การดูแลรักษาและอายุการใช้งานเหมือนกับ Lithium ion (Li-Ion) (สามารถชาร์ตไฟได้บ่อยตามที่ต้องการ และมีอายุ การใช้จริงโดย 1 Cycle เท่ากับ 100%และจำนวนครั้งที่ชาร์ต เพราะแบตเตอรี่แบบนี้จะเสื่อมลงเองตามระยะเวลา )
วิธีที่จะทำให้แบตไม่เสื่อมเร็ว
เมื่อพวกเราได้รู้จักกับแบตเตอรี่ชนิดต่างๆกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่าเราจะถนอมแบตและชาร์จแบตอย่างไรให้อย่างไรให้ถูกวิธีกันดีกว่า(จะบอกเฉพาะแบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เท่านั้น เพราะเป็นแบตที่ใช้กันอยู่ในมือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันอยู่แล้ว)
1.ควรชาร์จไฟก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 20-50% จะดีที่สุด แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60%(2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ ระบุว่า จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 200-300 รอบ(Cycle)
2.จะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาดเพราะแบตมันจะพังไวมาก!!
3.ถ้าหากไม่ได้ใช้มือถือเป็นเวลานาน และแบตเตอรี่สามารถถอดออกมาได้ ควรถอดแบตเตอรี่เก็บไว้ในขณะที่มีประจุประมาณ 40% และควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่เย็น และไม่มีความชื้นครับ โดยค่า 40% นั้นเป็นตัวเลขที่มาจากห้องทดลองเลยทีเดียว
4.มือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% และมันจะต่อไฟตรงเหมือนกับที่เราเห็นมันขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่านั่นแหละ แต่ถ้าหากแบตมันลดลงเพียง 1% มันก็จะชาร์จใหม่ ดังจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหนในขณะที่ชาร์จมันก็จะเต็มตลอด (ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตลดลงเหลือ 90%) ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-70% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุด
5.ควรใช้ที่ชาร์จที่มีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงที่ชาร์จปลอมเพราะอาจจะทำให้จ่ายไฟไม่นิ่งได้ และสิ่งที่หลายคนนั้นมองข้ามไปนั่นก็คือ สายไฟที่เราใช้ชาร์จนั่นเอง ก็ควรที่จะเป็นสายที่มีคุณภาพในการนำไฟฟ้าได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน (เช่นสาย micro-USB ของ Nokia ที่ทั้งถึก ทน และไม่เคยมีปัญหาการใช้งานเลย)
6.หลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้น เพราะอาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท๊บเลทมีปัญหาได้
7.เวลาชาร์จควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟก่อน แล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือ/แท๊บเลทอีกทีเพื่อป้องกันไฟกระชาก
8.ถ้าไม่ได้ใช้งาน อินเตอร์เน็ต ให้ปิดระบบ 3G จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรรี่ ลงลดถึง 50% ทีเดียวครับเป็นการยืดอายุแบตเตอรรี่ไปในตัวครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปซีเรียสมาก อุปกรณ์เหล่านี้มันเกิดมาเพื่อให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น ไม่ใช่มาเป็นภาระของเรา ส่วนตัวแล้วถ้าไม่ลืมก็พยายามทำ แต่ถ้าลืมก็ปล่อยมันไปเถอะ ไม่ต้องซีเรียส ยังไงวันนึงมันก็จากเราไปอยู่ดี เพียงแค่ถ้ารู้วิธีหน่อยมันก็จะอยู่กับเรานานขึ้นเท่านั้นเอง